การอภิปรายระหว่าง “แพรรี่” และ “พระสันติ” เกี่ยวกับการสอนธรรมะและการปฏิบัติศาสนาของพระสงฆ์นั้นเต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เข้มข้น โดยเริ่มจากการตั้งคำถามถึงการศึกษาภาษาบาลีและการรักษาศีล 8 ในการปฏิบัติของพระสงฆ์
“แพรรี่” เปิดประเด็นโดยกล่าวว่า การให้พระสันติท่องศีล 227 ข้อเป็นการเสียเวลา และเสนอให้พระสันติท่องปาติโมกข์กลางรายการเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในการท่องจำที่มีความเชื่อมโยงกับการปฏิบัติธรรมจริงๆ ขณะที่พระสันติยืนยันว่า การท่องจำศีล 8 อย่างครบถ้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ “แพรรี่” กลับชี้ให้เห็นว่า การรักษาศีลเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า การท่องจำเพียงอย่างเดียว
อีกประเด็นที่มีการตั้งคำถามคือการปลุกเสกพระเครื่อง โดย “อาจารย์เบียร์” ชี้ว่า หากการปลุกเสกพระเครื่องนั้นมีเจตนาไม่ถูกต้อง ก็จะถือเป็นมิจฉาทิฐิและอาจเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมตามหลักพระพุทธศาสนา
พระมหาวัฒนาได้เข้ามาช่วยอธิบายว่า การรับเงินจากการบิณฑบาตไม่ถือเป็นบาป แต่จะเป็นอาบัติที่ต้องแสดงออกถึงการรักษามาตรฐานทางศีลธรรมตามข้อกำหนดที่พระพุทธศาสนาได้วางไว้
ในด้านของการศึกษาพระไตรปิฎก “แพรรี่” แสดงความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาบาลีเสมอไป และควรมีการแปลเป็นภาษาไทยเพื่อให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งสร้างความเห็นขัดแย้งกับพระสันติที่เชื่อว่าการศึกษาภาษาบาลีเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา
สุดท้าย พระสันติเตือน “อาจารย์เบียร์” ว่าหากยังพาดพิงพระพุทธศาสนาในลักษณะที่ไม่เหมาะสม อาจจะต้องเจอกันในกรณีนี้บ่อยขึ้นในอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเฝ้าระวังและความตั้งใจที่จะรักษามาตรฐานการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา