“ผู้เสียหาย”ร่ำไห้ ฉะต่อหน้า “ทนายธรรมราช”เสียรถไม่พอ ซ้ำบ้านจะถูกยึด “ลูกสาว” ชี้หน้าด่าเดือด

ผู้เสียหายร้องเรียนทนายธรรมราช หลังจากที่ถูกไฟแนนซ์ฟ้องร้องและรถถูกยึด โดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทไฟแนนซ์ เมื่อผู้เสียหายไม่สามารถชำระเงินตามที่ตกลงไว้ ทางไฟแนนซ์จึงดำเนินการยึดรถและฟ้องร้องผู้เสียหายเพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระ ผู้เสียหายระบุว่าในระหว่างที่ทำสัญญาไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระหนี้ และยังถูกเรียกเก็บเงินมากกว่าที่ตกลงไว้ในสัญญา

ทนายธรรมราช ซึ่งเป็นทนายที่ผู้เสียหายติดต่อให้ช่วยดูแลคดีดังกล่าว ได้แนะนำให้ผู้เสียหายทำการจำนำรถกับญาติในช่วงแรก แต่หลังจากนั้น ทนายกลับเงียบหายไปเป็นเวลานานถึง 2 ปี จนทำให้ผู้เสียหายต้องเผชิญกับการบังคับคดีและการยึดรถที่เป็นปัญหาหนักหน่วงสำหรับครอบครัว นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังกล่าวว่าไม่เคยเห็นสัญญาเช่าซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาในการทำสัญญากับไฟแนนซ์

ในช่วงที่เกิดปัญหานี้ ทนายธรรมราช ได้ยืนยันว่า รถยังคงอยู่ในสภาพดีและสามารถคืนได้หากผู้เสียหายสามารถจ่ายเงินจำนวน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งทำให้ผู้เสียหายรู้สึกท้อแท้และวิตกกังวลมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถหาทางออกได้อย่างที่คาดหวัง ทั้งนี้ ผู้เสียหาย และครอบครัวต้องเผชิญกับความเครียดจากการถูกบังคับคดีและการขาดการติดต่อจากทนาย ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้

ลูกสาวของผู้เสียหาย ได้ตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของทนายธรรมราช และเรียกร้องให้มีการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีอย่างโปร่งใส โดยระบุว่าไม่มีการติดต่อจากทนายเลยในช่วงที่คดีดำเนินไป และทำให้พวกเขาไม่มั่นใจในความสามารถของทนายในการดำเนินการคดีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การเรียกร้องให้เปิดเผยเอกสารเป็นการขอความชัดเจนในกรณีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถรับทราบสิทธิและหน้าที่ของตนเองได้อย่างครบถ้วน

ในรายการข่าวที่มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดระหว่าง ทนายธรรมราช และ ผู้เสียหาย เกี่ยวกับความรับผิดชอบและการดำเนินคดี ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงข้อพิพาทต่างๆ ซึ่งทนายได้ยืนยันว่าตนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผู้เสียหายกลับมองว่าไม่เคยได้รับความช่วยเหลือที่เพียงพอ ในขณะที่ทนายก็ได้อ้างถึงการที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้ในสัญญา

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่โปร่งใสในการทำสัญญากับไฟแนนซ์และการขาดการติดตามจากทนาย ซึ่งทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง